บทที่ 4
ผลการดำเนินงาน
1. ความพอเพียง
ปรากฎเหตุการณ์ดังต่อไปนี้
ฝ่ายพวกภิลล์ซึ่งอยู่ในหมู่บ้านนั้นประพฤติตัวเป็นโจรอยู่โดยปกติ
ครั้นเห็นชายคนเดียวแต่งตัวด้วยของมีค่าเดินเข้ามาเช่นนั้น ก็คุมกันออกมาจะชิงทรัพย์ในพระองค์
พระราชาท้าวมหาพลทรงเห็นดังนั้นก็ทรงพระแสงธนูยิงพวกโจรล้มตายลงเป็นอันมาก
ฝ่ายนายโจรได้ทราบว่าผู้มีทรัพย์มาฆ่าฟันพวกตนลงไปเป็นอันมากดังนั้น
ก็กระทำสัญญาเรียกพลโจรออกมาทั้งหมดแล้วเข้าล้อมรบพระราชา
ท้าวมหาพลองค์เดียวเหลือกำลังจะต่อสู้ป้องกันอาวุธพวกโจรได้ก็สิ้นพระชนม์ลงในที่นั้น
พวกภิลล์ก็ช่วยกันเข้าปลดเปลื้องของมีค่าออกจากพระองค์
แล้วพากันคืนเข้าสู่บ้านแห่งตน
หากพวกภิลล์รู้จักพอกับสื่งที่ตนเองมีอยู่ ก็จะไม่มาปล้นท้าวมหาพล
แต่ถ้าหากท้าวมหาพลไม่แต่งกายด้วยของมีค่า ก็จะไม่ถูกพวกภิลล์ปล้นเช่นกัน
เหตุการณ์ดังกล่าว สอดคล้องกับพุทธวจนะสุภาษิตที่ว่า
อปฺปิจฺฉตา
อตฺถาย สํวตฺตติ : ความรู้จักพอ มีประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่
2. ความมีวินัย
ปรากฎเหตุการณ์ดังต่อไปนี้
เมื่อ 2,000 กว่าปีผ่านมา ณ เมือง อุชเชนี
(อุชเชยินี) มีพระราชาทรงพระปรีชาสามารถเป็นที่เลื่องลือทรงพระนามว่า พระวิกรมาทิตย์
ครั้งนั้นมีโยคีตนหนึ่งชื่อ ศานติศีล
ผูกอาฆาตพระราชบิดาของพระวิกรมาทิตย์และประสงค์ที่จะเอาชีวิตพระองค์แทน
เพื่อเป็นการบูชานางทุรคา เพราะพระวิกรมาทิตย์ทรงพระราชสมภพใรวัน เดือน ปี และฤกษ์เดียวกันกับตน
โยคีศานติศีลจึงทำอุบายปลอมตนเป็นพ่อค้านำทับทิมล้ำค่าซ่อนไว้ในผลไม้มาถวายพระวิกรมาทิตย์ทุกวัน
พระวิกรมาทิตย์จึงพระราชทานพระอนุญาตให้พ่อค้าทูลขอสิ่งที่ปรารถนาเพื่อเป็นการตอบแทน
ศานติศีลจึงเผยตัวว่าตนเองเป็นโยคี และทูลขอให้พระวิกรมาทิตย์ไปจับเวตาลในป่าช้าเพื่อนำมาประกอบพิธีอย่างหนึ่ง
และตามสัญญาพระวิกรมาทิตย์จะต้องเสด็จไปกับพระราชโอรสเท่านั้น
พระวิกรมาทิตย์ทรงทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับโยคี
เพียรพยายาม และมีวินัย เพื่อที่จะนำตัวเวตาลมาให้ได้
แม้เวตาลมักจะยั่วยุให้พระวิกรมาทิตย์แสดงความคิดเห็นออกมา ทำให้พระองค์ต้องกลับไปปีนต้นอโศกเพื่อจับเวตาลใส่ย่ามอยู่หลายครั้ง
ครั้นเวตาลยอมให้จับได้ ก็ยั่วยุจนหลุดไปได้ วนเวียนอยู่ถึง 24 ครั้ง
จึงนับว่าเป็นยอดแห่งความเพียรพยายาม ความมีวินัย และความอดทนอดกลั้น ยากที่มนุษย์ธรรมดาจะทำได้
เหตุการณ์ดังกล่าว สอดคล้องกับพุทธวจนะสุภาษิตที่ว่า
กิจฺจกโร สิยา น จ มชฺเช : ทุกคนควรทำหน้าที่ของตน และไม่ควรประมาท
3. ความกตัญญู
ปรากฎเหตุการณ์ดังต่อไปนี้
ท้าวจันทรเสนตรัสว่า
“เหตุไฉนเจ้าจึงกล่าวดังนี้ พระราชมารดาของเจ้าสิ้นพระชนม์ไปไม่กี่วัน เจ้าจะอยากมีแม่เลี้ยงเร็วเท่านี้เจียวหรือ”
พระราชบุตรทูลตอบว่า “ขอพระองค์อย่ารับสั่งเช่นนั้น
เพราะบ้านของผู้ใหญ่ในครอบครัวนั้น ถ้าไม่มีแม่เรือนก็เป็นบ้านที่ว่าง
อนึ่งพระองค์ย่อมจะทรงทราบคาถาซึ่งมูลเทวะบัณฑิตแต่งไว้ มีความว่า
ชายผู้ไม่ใช่คนโง่ ไม่ยอมคืนสู่เรือนซึ่งไม่มีนางที่รักผู้มีรูปงามคอยรับรองในขณะที่กลับถึงเรือนนั้น
แม้เรียกว่าเรือนก็ไม่ใช่อื่น คือคุกซึ่งไม่มีโซ่เท่านั้นเอง
พระองค์ย่อมทรงทราบด้วยพระองค์เองว่า
ความสุขแห่งพ่อบ้านซึ่งอยู่โดดเดี่ยวนั้นมีไม่ได้ในบ้าน แลมีไม่ได้นอกบ้าน เพราะไม่มีหวังจะได้ความสุขเมื่อกลับมาสู่เรือนแห่งตน”
พระราชบุตรเป็นห่วงพระราชบิดาว่าหากไม่มีภรรยาก็ไม่มีความสุข เปรียบเทียบการกลับบ้านำปแล้วไม่มีนางอันเป็นที่รักคอยต้อนรับ
ก็เหมือนคุกที่ไม่มีโซ่ พระราชบุตรเข้าใจพระราชบิดาของตนเอง
โดยการให้พระราชบิดาเลือกนางเท้าเขื่องไปเป็นพระมเหสี พระราชบิดาจะได้มีความสุข
เหตุการณ์ดังกล่าว สอดคล้องกับพุทธวจนะสุภาษิตที่ว่า
นิมิตฺตํ สาธุรูปานํ
กตญฺญูกตเวทิตา : ความกตัญญูกตเวทีเป็นเครื่องหมายแห่งคนดี
4. ความซื่อสัตย์
ปรากฎเหตุการณ์ดังต่อไปนี้
ท้าวมหาพลเห็นจะรักษาชีวิตของพระองค์ไว้ไม่ได้ด้วยวิธีรบ
ก็คิดจะรักษาชีวิตด้วยวิธีหนี
จึ่งพาพระมเหสีแลพระราชธิดาออกจากกรุงไปในเวลาเที่ยงคืนจำเพาะสามพระองค์
พระราชาทรงพานางทั้งสองเล็ดรอดพ้นแนวทัพข้าศึกไป
แล้วก็ตั้งพระพักตร์มุ่งไปยังเมืองซึ่งเป็นเมืองเดิมของพระมเหสี
แม้จะอยู่ในยามศึกสงครามท้าวมหาพลก็ไม่ทอดทิ้งพระมเหสีและพระราชธิดา
พาพระมเหสีและพระราชธิดาหนีมาด้วยกัน
และท้าวมหาพลก็รักและซื่อสัตย์ต่อพระมเหสีเพียงคนเดียวไม่เคยมีหญิงอื่น
เหตุการณ์ดังกล่าว สอดคล้องกับพุทธวจนะสุภาษิตที่ว่า
สจฺจํ หเว สาธุตรํ รสานํ : ความซื่อสัตย์นั่นแล ดีกว่ารสทั้งหลาย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น